บันทึกอนุทิน ครั้งที่3
วิชา การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
วันพุธ ที่28 เดือน มกราคม พ.ศ. 2558
คาบนี้อาจารย์นำภาพดอกไม้มา ซึ่งแต่ละห้องอาจารย์จะเลือกภาพดอกไม้ที่ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละห้อง เช่น ดอกบัว ดอกชบา ซึ่งในกลุ่มเรียนนี้ได้ "ดอกกุหลาบ"
โดยอาจารย์ให้เขียนบรรยายว่าเห็นอะไรจากภาพนี้
ภาพดอกกุหลาบที่อาจารย์นำมา
ภาพที่หนูวาด
สิ่งที่เห็นจากภาพ : กลีบดอกใหญ่กำลังบาน สีชมพูผสมขาว มีเป็นหยักบนกลีบดอก บางกลีบอ่อนบางกลีบเข้ม
สิ่งที่สะท้อนจากการทำกิจกรรม : การวาดภาพเหมือนของดอกกุหลาบก็เปรียบเสมือนการบันทึกพฤติกรรมของเด็ก ครูต้องบันทึกพฤติกรรมที่เด็กแสดงออกมาจริงๆ บันทึกทุกอย่างที่เด็กทำ เขียนทุกอย่างที่เด็กพูด ครูไม่ควรมโนหรือใส่ความรู้สึกของตัวเองในการบันทึก ต้องบันทึกจากพฤติกรรมที่เด็กแสดงออกมาเท่านั้น
เนื้อหาที่ได้เรียนในวันนี้ "บทบาทครูปฐมวัยในห้องเรียนรวม"
ครูไม่ควรวินิจฉัย : ครูดูอาการของเด็กออก เพราะอยู่กับเด็กตลอด ยิ่งครูมีความรู้ทำให้มองเด็กว่าเป็นอะไร แต่ครูห้ามวินิจฉัยว่าเด็กเป็นอะไรเด็กขาด เพราะหน้าที่วินิจฉัยเป็นหน้าที่ของแพทธ์เท่านั้น และที่สำคัญเมื่อครูรู้ว่าเด็กเป็นอะไรต้องเก็บไว้คนเดียว ห้ามบอกให้คนอื่นรู้เด็ดขาดโดยเฉพาะผู้ปกครอง จะทำให้เป็นการตีตราให้กับเด็ก
ครูไม่ควรบอกพ่อแม่ว่าเด็กมีบางอย่างผิดปกติ : ครูไม่ควรเล่าเรื่องไม่ดีให้พ่อแม่เด็กพิเศษฟังเด็ดขาด เพราะเขาทราบอยู่แล้วว่าลูกเขาเป็นอะไร เขาเลยไม่ชอบให้ครูตอกย้ำ แต่สิ่งที่เขาต้องการคือคำชมจากครู ครูต้องตบหัวแล้วลูบหลัง ดัดจริตเยอะๆ ต้องรู้จักการใช้คำใช้ภาษาพูดแฝงในสิ่งที่เด็กทำไม่ได้ไปด้วย เพื่อให้พ่อแม่สามารถช่วยให้เด็กพัฒนายิ่งขึ้น
ครูไม่ควรตั้งชื่อหรือระบุประเภทเด็ก : ครูไม่ควรทำเด็ดขาด ห้ามตั้งฉายาให้เด็กปกติหรือเด็กพิเศษก็ตาม ไม่ว่าจะตั้งฉายาในด้านดีน่ารักก็ตาม เด็กจะไม่ชอบ เพราะเขามีชื่อ เช่นกรณีของเด็กดาวน์ซินโดรม เป็นเด็กน่ารัก ตาตี๋ ผิวขาว ครูจึงเรียกอาหมวยหรืออาตี๋ คนอื่นฟังอาจจะน่ารัก แต่เด็กที่ถูกเรียกจะไม่ชอบ เพราะเด็กคนอื่นครูเรียกชื่อ เขามีชื่อแต่ครูไม่เรียก เด็กจะเกิดความน้อยใจ เกิดความคิดว่าไม่เท่าเทียมกัน
สิ่งที่ครูควรทำคือ ต้องจำชื่อจริง นามสกุล และชื่อเล่นของเด็กทุกคนในห้อง ครูทำได้จากการเช็คชื่อ
สิ่งที่ครูควรทำ : ครูสามารถชี้ให้เห็ถึงพฤติกรรมของเด็กในเรื่องที่เกี่ยวกับพัฒนาการต่างๆ ให้ข้อแนะนำในการหาบุคลากรที่เหมาะสมในการประเมินผลหรือวินิจฉัย สังเกตเด็กอย่างมีระบบและจดบันทึกพฤติกรรมเด็กเป็นช่วงๆ
สังเกตเด็กอย่างมีระบบ (เป็นวิธีที่ดีที่สุด) : ครูต้องสังเกตและบันทึกอย่างเป็นระบบ ต้องเขียนตามความเป็นจริงที่เด็กแสดงพฤติกรรมออกมาและเขียนทุกอย่างที่เด็กพูด คนที่บันทึกพฤติกรรมของเด็กได้ดีที่สุดคือครู เพราะครูอยู่กับเด็กตลอดเวลาใกล้ชิดกับเด็กมากที่สุด แพทธ์หรือบุคคลอื่นจะมาขอข้อมูลเด็กกับครู ฉะนั้นครูต้องเขียนตามความจริงและต้องทำให้มีคุณภาพ
การตรวจสอบ : จะทำให้รู้ว่าเด็กมีพฤติกรรมอย่างไรและเป็นแนวทางที่สำคัญที่ทำให้ครูและพ่อแม่เข้าใจเด็กดีขึ้น สามารถบอกได้ว่าเรื่องใดบ้างที่เด็กต้องการความช่วยเหลือ
ข้อควรระวังในการปฏิบัติ (เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด) : ครูต้องไวต่อความรู้สึกสามารถตัดสินใจได้ล่วงหน้า ต้องเรียงลำดับความสำคัญให้เป็น สิ่งไหนที่สำคัญต้องแก้ก่อน เช่น พฤติกรรมการเล่นคนเดียวของเด็กสำคัญที่สุดที่ครูควรแก้เป็นลำดับแรก เพราะการเล่นคนเดียวเป็นการขัดขวางกระบวนการเรียนรู้ทางสังคม ถ้าครูไม่แน่ใจในพฤติกรรมบางอย่าง ก็ให้เปรียบเทียบกับผู้ใหญ่หรือเด็กคนอื่นๆในห้องทำ แสดงว่าพฤติกรรมนั้นไม่น่าเป็นห่วง
การบันทึกการสังเกต : ไปใช้กับเด็กที่เข้าข่ายเป็นเด็กพิเศษ ครูอย่าใช้ความรู้สึกของตัวเองลงไป ต้องบันทึกตามจริงที่เด็กแสดงพฤติกรรมออกมา บอกเป็นข้อๆ จุดๆอย่างละเอียด
1) การนับอย่างง่ายๆ : การนับจำนวนครั้งของการเกิดพฤติกรรม เช่น ตลอดทั้งวัน เด็กขว้างสิ่งของจำนวนกี่ครั้งหรือเช็คระยะเวลาในการกระทำเป็นระยะเวลาเท่าไหร่ เด็กปกติส่วนมากทำไม่เกิน 2-3นาที เพราะเหนื่อย
2) การบันทึกต่อเนื่อง (ดีที่สุด) : บันทึกทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำได้ทุกช่วงทั้ง 6กิจกรรม สังเกตเวลาสอน ส่วนมากจะให้ครูพี่เลี้ยงในห้องทำบันทึกตั้งแต่ต้นจนจบกิจกรรม จะละเอียดมาก เพราะเวลาที่เราสอน เราไม่สามารถจดบันทึกทุกอย่างได้และถ้าเราบันทึกเองหลังจากทำกิจกรรมเสร็จเราอาจจะจำไม่ได้
3) การบันทึกไม่ต่อเนื่อง : บันทึกพฤติกรรมเป็นชอตๆ แค่กิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งเท่านั้น สั้นๆไม่ต่อเนื่อง บันทึกลงบัตรเล็กๆเพื่อเป็นการย้ำให้ครูเขียนแค่นี้พอ สามารถให้ครูพี่เลี้ยงจดได้
การเกิดพฤติกรรมบางอย่างมากเกินไป : ครูควรเอาใจใส่ระดับความมากน้อยของความบกพร่องมากกว่าชนิดของความบกพร่อง ถ้าเด็กในห้องหรือผู้ใหญ่เป็นไม่ต้องไปซีเรียส
การตัดสินใจ : ครูต้องตัดสินใจด้วยความระมัดระวัง พฤติกรรมของเด็กที่เกิดขึ้นไปขัดขวางความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กหรือไม่ ก่อนที่ครูจะพูดอะไรให้ผู้ปกครองต้องมั่นใจก่อนถึงจะพูดได้
สิ่งที่ครูควรทำ : ครูสามารถชี้ให้เห็ถึงพฤติกรรมของเด็กในเรื่องที่เกี่ยวกับพัฒนาการต่างๆ ให้ข้อแนะนำในการหาบุคลากรที่เหมาะสมในการประเมินผลหรือวินิจฉัย สังเกตเด็กอย่างมีระบบและจดบันทึกพฤติกรรมเด็กเป็นช่วงๆ
สังเกตเด็กอย่างมีระบบ (เป็นวิธีที่ดีที่สุด) : ครูต้องสังเกตและบันทึกอย่างเป็นระบบ ต้องเขียนตามความเป็นจริงที่เด็กแสดงพฤติกรรมออกมาและเขียนทุกอย่างที่เด็กพูด คนที่บันทึกพฤติกรรมของเด็กได้ดีที่สุดคือครู เพราะครูอยู่กับเด็กตลอดเวลาใกล้ชิดกับเด็กมากที่สุด แพทธ์หรือบุคคลอื่นจะมาขอข้อมูลเด็กกับครู ฉะนั้นครูต้องเขียนตามความจริงและต้องทำให้มีคุณภาพ
การตรวจสอบ : จะทำให้รู้ว่าเด็กมีพฤติกรรมอย่างไรและเป็นแนวทางที่สำคัญที่ทำให้ครูและพ่อแม่เข้าใจเด็กดีขึ้น สามารถบอกได้ว่าเรื่องใดบ้างที่เด็กต้องการความช่วยเหลือ
ข้อควรระวังในการปฏิบัติ (เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด) : ครูต้องไวต่อความรู้สึกสามารถตัดสินใจได้ล่วงหน้า ต้องเรียงลำดับความสำคัญให้เป็น สิ่งไหนที่สำคัญต้องแก้ก่อน เช่น พฤติกรรมการเล่นคนเดียวของเด็กสำคัญที่สุดที่ครูควรแก้เป็นลำดับแรก เพราะการเล่นคนเดียวเป็นการขัดขวางกระบวนการเรียนรู้ทางสังคม ถ้าครูไม่แน่ใจในพฤติกรรมบางอย่าง ก็ให้เปรียบเทียบกับผู้ใหญ่หรือเด็กคนอื่นๆในห้องทำ แสดงว่าพฤติกรรมนั้นไม่น่าเป็นห่วง
การบันทึกการสังเกต : ไปใช้กับเด็กที่เข้าข่ายเป็นเด็กพิเศษ ครูอย่าใช้ความรู้สึกของตัวเองลงไป ต้องบันทึกตามจริงที่เด็กแสดงพฤติกรรมออกมา บอกเป็นข้อๆ จุดๆอย่างละเอียด
1) การนับอย่างง่ายๆ : การนับจำนวนครั้งของการเกิดพฤติกรรม เช่น ตลอดทั้งวัน เด็กขว้างสิ่งของจำนวนกี่ครั้งหรือเช็คระยะเวลาในการกระทำเป็นระยะเวลาเท่าไหร่ เด็กปกติส่วนมากทำไม่เกิน 2-3นาที เพราะเหนื่อย
2) การบันทึกต่อเนื่อง (ดีที่สุด) : บันทึกทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำได้ทุกช่วงทั้ง 6กิจกรรม สังเกตเวลาสอน ส่วนมากจะให้ครูพี่เลี้ยงในห้องทำบันทึกตั้งแต่ต้นจนจบกิจกรรม จะละเอียดมาก เพราะเวลาที่เราสอน เราไม่สามารถจดบันทึกทุกอย่างได้และถ้าเราบันทึกเองหลังจากทำกิจกรรมเสร็จเราอาจจะจำไม่ได้
3) การบันทึกไม่ต่อเนื่อง : บันทึกพฤติกรรมเป็นชอตๆ แค่กิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งเท่านั้น สั้นๆไม่ต่อเนื่อง บันทึกลงบัตรเล็กๆเพื่อเป็นการย้ำให้ครูเขียนแค่นี้พอ สามารถให้ครูพี่เลี้ยงจดได้
การเกิดพฤติกรรมบางอย่างมากเกินไป : ครูควรเอาใจใส่ระดับความมากน้อยของความบกพร่องมากกว่าชนิดของความบกพร่อง ถ้าเด็กในห้องหรือผู้ใหญ่เป็นไม่ต้องไปซีเรียส
การตัดสินใจ : ครูต้องตัดสินใจด้วยความระมัดระวัง พฤติกรรมของเด็กที่เกิดขึ้นไปขัดขวางความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กหรือไม่ ก่อนที่ครูจะพูดอะไรให้ผู้ปกครองต้องมั่นใจก่อนถึงจะพูดได้
การนำความรู้ไปใช้
เพื่อได้เป็นครูประจำชั้น ถ้ามีเด็กพิเศษในห้อง สิ่งแรกที่ไม่ควรทำคือการวินิจฉัยอาการของเด็ก เพราะจะเป็นการตีตราให้กับเด็ก ต้องจำชื่อจริง นามสกุลและชื่อเล่นของเด็กทุกคนในห้อง ห้ามตั้งฉายาให้กับเด็กถึงแม้ฉายาที่เรียกจะน่ารักก็ตามแต่เด็กไม่ชอบ เด็กแต่ละคนมีชื่อ จะทำให้เกิดความรู้สึกไม่เท่าเทียมกัน
ต้องสังเกตอย่างมีระบบ เขียนตามความจริงบันทึกทุกอย่างทุกเด็กแสดงพฤติกรรมออกมา และเขียนทุกอย่างที่เด็กพูด ห้ามมโนหรือเขียนตามความรู้สึกของตัวเอง ต้องเขียนตามความจริงที่เด็กแสดงพฤติกรรมออกมาเท่านั้น
ประเมินตนเอง
ตั้งใจฟังที่อาจารย์อธิบาย และพยายามจดเนื้อหาที่สำคัญ แต่ขาดการเตรียมตัวมาล่วงหน้า กิจกรรมวาดภาพเหมือนของดอกกุหลาบ ยังวาดได้ไม่เหมือน จากกิจกรรมนี้สะท้อนให้เห็นว่า เมื่อเราต้องไปใช้กับเด็กจริงๆ เราต้องจดบันทึกจากสิ่งที่เราเห็นจากพฤติกรรมที่เด็กแสดงออกมาจริงๆ ห้ามไปเติม ห้ามเขียนตามความรู้สึกของตัวเอง ถ้าต่อไปได้มีโอกาสไปใช้จริงๆ หนูก็จะนึกถึงดอกกุหลาบสองสีนี้ค่ะ
ประเมินเพื่อน
เพื่อนๆทุกคนมีความตั้งใจและให้ความร่วมมือในการทำกิจจกรรม ทุกคนวาดรูปได้สวยและเหมือนแบบมาก
ประเมินอาจารย์
อาจารย์สอนสนุก มีเทคนิคในการสอนที่หลากหลาย ไม่ได้สอนแค่ในเนื้อหา แต่นำกิจกรรมมาให้ทำ ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกว่าอาจารย์ให้วาดภาพเหมือนทำไม เพราะเรียนวิชาศิลปะครูห้ามให้เด็กวาดภาพตามแบบ เพราะเด็กจะไม่ได้ใช้จินตนาการเป็นการปิดกั้นความคิดของเด็ก แต่พอทำกิจกรรมเสร็จก็เข้าใจว่าทำไมอาจารย์ถึงให้วาดภาพให้เหมือนแบบมากที่สุด กิจกรรมนี้ทำให้เข้าใจในเนื้อหามากขึ้น
เพื่อได้เป็นครูประจำชั้น ถ้ามีเด็กพิเศษในห้อง สิ่งแรกที่ไม่ควรทำคือการวินิจฉัยอาการของเด็ก เพราะจะเป็นการตีตราให้กับเด็ก ต้องจำชื่อจริง นามสกุลและชื่อเล่นของเด็กทุกคนในห้อง ห้ามตั้งฉายาให้กับเด็กถึงแม้ฉายาที่เรียกจะน่ารักก็ตามแต่เด็กไม่ชอบ เด็กแต่ละคนมีชื่อ จะทำให้เกิดความรู้สึกไม่เท่าเทียมกัน
ต้องสังเกตอย่างมีระบบ เขียนตามความจริงบันทึกทุกอย่างทุกเด็กแสดงพฤติกรรมออกมา และเขียนทุกอย่างที่เด็กพูด ห้ามมโนหรือเขียนตามความรู้สึกของตัวเอง ต้องเขียนตามความจริงที่เด็กแสดงพฤติกรรมออกมาเท่านั้น
ประเมินตนเอง
ตั้งใจฟังที่อาจารย์อธิบาย และพยายามจดเนื้อหาที่สำคัญ แต่ขาดการเตรียมตัวมาล่วงหน้า กิจกรรมวาดภาพเหมือนของดอกกุหลาบ ยังวาดได้ไม่เหมือน จากกิจกรรมนี้สะท้อนให้เห็นว่า เมื่อเราต้องไปใช้กับเด็กจริงๆ เราต้องจดบันทึกจากสิ่งที่เราเห็นจากพฤติกรรมที่เด็กแสดงออกมาจริงๆ ห้ามไปเติม ห้ามเขียนตามความรู้สึกของตัวเอง ถ้าต่อไปได้มีโอกาสไปใช้จริงๆ หนูก็จะนึกถึงดอกกุหลาบสองสีนี้ค่ะ
ประเมินเพื่อน
เพื่อนๆทุกคนมีความตั้งใจและให้ความร่วมมือในการทำกิจจกรรม ทุกคนวาดรูปได้สวยและเหมือนแบบมาก
ประเมินอาจารย์
อาจารย์สอนสนุก มีเทคนิคในการสอนที่หลากหลาย ไม่ได้สอนแค่ในเนื้อหา แต่นำกิจกรรมมาให้ทำ ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกว่าอาจารย์ให้วาดภาพเหมือนทำไม เพราะเรียนวิชาศิลปะครูห้ามให้เด็กวาดภาพตามแบบ เพราะเด็กจะไม่ได้ใช้จินตนาการเป็นการปิดกั้นความคิดของเด็ก แต่พอทำกิจกรรมเสร็จก็เข้าใจว่าทำไมอาจารย์ถึงให้วาดภาพให้เหมือนแบบมากที่สุด กิจกรรมนี้ทำให้เข้าใจในเนื้อหามากขึ้น